บทที่ 4
ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับศาสนา
“ศาสนาให้อะไรแก่มนุษย์?”
ชีวิตมนุษย์เกือบค่อนโลกมีความเกี่ยวข้องกับศาสนา แม้บางคนจะเหินห่างและไม่แน่ใจว่าตนนับถือศาสนาอะไรหรือกำลังแสวงหาอยู่ว่าตนควรจะนับถือศาสนาใดดี เขาก็ยังคงต้องเกี่ยวข้องกับศาสนาอยู่ดี แม้จะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม เพราะศาสนานอกจากจะมีบทบาทสำคัญต่อวิถีชีวิตของแต่ละบุคคลแล้ว ศาสนายังเป็นวิถีชีวิตมนุษย์ที่อยู่ร่วมกันในสังคมด้วย ตราบใดก็ตามที่มนุษย์อยู่ในสังคม สมาชิกในสังคมย่อมต้องเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับศาสนาโดยปริยาย ศาสนาจึงเป็นสถาบันสำคัญที่ค้ำจุนมนุษย์ในสังคม ให้ดำเนินชีวิตอย่างมีจุดหมายในบริบทของสังคม
1. ศาสนาในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
ศาสนาเป็นปรากฏการณ์เก่าแก่อย่างหนึ่งในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ จนถึงกับบอกได้ว่าศาสนามีกำเนิดมายาวนานพอๆ กับการกำเนิดของมนุษยชาติก็ว่าได้ (David, 1994)
1.1 ร่องรอยการค้นพบเชิงประวัติศาสตร์สะท้อนถึง “ศาสนาอยู่คู่กับมนุษยชาติ”
จากการศึกษาประวัติศาสตร์มนุษยชาติ สิ่งหนึ่งที่นำมาพิจารณาคือการค้นพบทางโบราณคดี โดยเฉพาะการขุดพบซากมนุษย์โบราณ พบว่าการฝังศพผู้ตายนั้นไม่เพียงการฝังธรรมดา ๆ เหมือนซากสัตว์ทั่วไป การฝังศพมนุษย์มีความหมายมากกว่าแค่ระดับความจำเป็นตามธรรมชาติ (ถ้าไม่ฝังก็จะเน่าเหม็น สร้างความเดือนร้อน) สิ่งที่ค้นพบในหลุมศพของผู้ตายไม่ว่าจะเป็นวัสดุ อุปกรณ์ที่ใช้ในชีวิต (สมัยโบราณ) เช่น หม้อ ไห (ที่บ้านเชียง) หรือรูปปั้นบุคคล (ในกรณีสุสานของจิ๋นซี อดีตจักรพรรดิ์จีนโบราณ) เป็นต้น สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อบางอย่างที่อยู่เบื้องหลังพิธีการฝังศพเหล่านั้น ความเชื่อดังกล่าวนี้อาจตีความว่าคือความเชี่อในหลักการของศาสนาโบราณนั่นเอง
1.2 พัฒนาการของศาสนาควบคู่กับพัฒนาการของมนุษยชาติ
ในทางประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยาและสังคมวิทยามีการจำแนกความเป็นมาของมนุษยชาติเป็นสองช่วง ช่วงแรกเรียกว่าช่วงก่อนประวัติศาสตร์ ช่วงสองคือช่วงประวัติศาสตร์ โดยยึดการประดิษฐ์ตัวอักษรเป็นหลัก สมัยก่อนประวัติศาสตร์ไม่มีตัวอักษรสำหรับการถ่ายทอดความคิด แต่จากการค้นร่องรอยที่ยืนยันถึงถิ่นอาศัยของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ เช่น หลุมศพ สิ่งก่อสร้าง หรือภาพเขียนตามผนังถ้ำ เป็นต้น น่าสังเกตว่าหลักฐานในยุคก่อนประวัติศาสตร์แสดงถึงความเชื่อของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่สะท้อนถึงลักษณะของศาสนาโบราณ (Primitive religion) ต่อมาเมื่อเข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์ มีหลักฐานทางโบราณคดีที่ระบุชัดเจนว่า มนุษย์ในสมัยต่อมามีการพัฒนาระบบและโครงสร้างการอยู่ร่วมกันในสังคม ศาสนาที่มนุษย์นับถือแต่โบราณก็ค่อย ๆ พัฒนาควบคู่ไปด้วย ไปสู่การมีโครงสร้าง หลักคำสอนที่ชัดเจนรวมถึงวิถีปฏิบัติตนอย่างเป็นระบบ ในรูปแบบที่เราพบเห็นในศาสนายุคปัจจุบัน (David, 1994)
1.3 ศาสนาเป็นแรงจูงใจให้เกิดอารยธรรม
การอยู่ร่วมกันเป็น “สังคม” ของมนุษย์มีความแตกต่างจากการอยู่ร่วมกันเป็น “ฝูง” ของสัตว์อื่น ๆ เนื่องจากมนุษย์มีการจัดระบบ พัฒนาโครงสร้าง ระเบียบวิธีการอยู่ร่วมกันในสังคมที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้นตามลำดับเวลาในประวัติศาสตร์ การอยู่ร่วมกันของมนุษย์ก่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “อารยธรรม” อันหมายถึงสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความเจริญงอกงามและความใฝ่สิ่งสูงส่งของมนุษย์ อารยธรรมนี้มีทั้งส่วนที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม โดยเฉพาะอารยธรรมที่ปรากฏให้เห็นร่องรอยจวบจนปัจจุบัน เช่น พีระมิด นครวัด นครธม ฯลฯ ซึ่งทำให้มนุษย์ในปัจจุบันฉงนถึงผลงานที่ยังคงอยู่ของมนุษย์ในอดีตที่ยิ่งใหญ่และไม่สามารถอธิบายได้ชัดเจนว่าสร้างขึ้นได้อย่างไร อารยธรรมในรูปของวัตถุเกิดขึ้นได้เพราะมนุษย์มีแรงจูงใจที่สำคัญ และแรงจูงใจทางศาสนาดูเหมือนจะมีพลังที่สุดในการดึงดูดผู้คนให้รวมกลุ่มกันสร้างสรรค์ผลงานอันยิ่งใหญ่และงดงาม ด้วยเหตุนี้ สิ่งมหัศจรรย์ที่ปรากฏในโลกมักเกี่ยวข้องกับศาสนาไม่ทางใดก็ทางหนึ่งเสมอ (สมภาร, 2546)
1.4 ศาสนาคืออารยธรรมในรูปของความคิดที่ทำให้มนุษย์เปิดตัวสู่ความเป็นจริงสูงสุด
สิ่งที่เป็นสาระสำคัญของอารยธรรมมนุษย์คือ อารยธรรมที่อยู่ในรูปความคิด ศาสนาเป็นอารยธรรมในรูปของความคิดที่เริ่มต้นจากคนเพียงบางคนที่พบสัจธรรมหรือความเป็นจริงสูงสุด และค่อย ๆ ขยายสู่กลุ่มชนที่เลื่อมใสและเห็นคุณค่าต่อชีวิตของตน จึงติดตามและดำเนินตามวิถีเพื่อการบรรลุสัจธรรมตามต้นแบบ หลักธรรมและวิถีปฏิบัติของแต่ละศาสนาอาจแตกต่างกัน แต่หัวใจของศาสนาต่างคล้ายคลึงกันคือ การสอนให้บรรลุถึงความรอดพ้นที่อยู่เกินขอบเขตโลกวัตถุ แต่เป็นการเปิดตัวเองสู่สัจธรรม (ความเป็นจริงสูงสุด) ที่มนุษย์สามารถบรรลุถึงได้อาศัยการดำเนินชีวิตตามหลักธรรมของศาสนานั้น ๆ
2. ศาสนาในฐานะเป็นสถาบันในสังคม
ศาสนามีกำเนิดและพัฒนาการควบคู่ไปกับพัฒนาการของมนุษยชาติ เมื่อมนุษย์จัดระบบ โครงสร้างในการอยู่ร่วมกันในสังคม ศาสนาซึ่งแต่เดิมมีลักษณะเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน แต่เนื่องจากศาสนามีการขยายตัวในสังคมมากขึ้น จากคนบางคน บางกลุ่ม ขยายไปในระดับที่กว้างขึ้น ๆ จึงมีความจำเป็นต้องจัดระบบ โครงสร้างให้สอดคล้องกับระบบ โครงสร้างในสังคม ศาสนาจำเป็นต้องมีการปรับตัวให้สนองตอบความต้องการของสังคมและพัฒนาสู่การเป็นสถาบันในสังคม (David, 1994)
2.1 ความเป็นสถาบันของศาสนา
ศาสนาทั้งหลายจะพัฒนาไปในทิศทางที่คล้ายคลึงกัน คือ พัฒนาไปสู่ความเป็นสถาบันในสังคม โดยมีเงื่อนไขที่สำคัญสองประการในการพิจารณา กล่าวคือ
2.1.1 ความศักดิ์สิทธิ์ในศาสนา
ศาสนาเริ่มต้นจากความเรียบง่าย สมถะ หลักคำสอนและวิถีปฏิบัติของบางคน บางกลุ่ม (ศาสดา) ทำให้มีผู้เลื่อมใสและติดตามแบบอย่าง ศาสดาของแต่ละศาสนาเชิญชวนให้ผู้ติดตามดำเนินชีวิตแบบเรียบง่ายและเน้นการนำไปปฏิบัติสู่การบรรลุถึงสัจธรรม ต่อมาเมื่อผ่านยุคเริ่มต้นของศาสนา (ผ่านยุคศาสดาและสาวกที่ใกล้ชิดที่ได้สัมผัสกับศาสดาแบบตัวเป็น ๆ ) ศาสนาได้แผ่ขยายจำนวนผู้นับถือมากขึ้น คำสอนของศาสดา (ซึ่งแต่เดิมเน้นวิถีชีวิตเรียบง่ายและเน้นการปฏิบัติเพื่อบรรลุสัจธรรม) ได้กลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้นับถือศาสนาต้องเคารพยำเกรงและวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ บุคคลใน (ตำนาน) ศาสนากลายเป็น “ผู้ศักดิ์สิทธิ์” อยู่เหนือความเคลือบแคลงสงสัยและได้รับการเชิดชูเป็น “มนุษย์พิเศษ” ส่งผลให้หลักคำสอน รวมทั้งสิ่งที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับศาสดาเป็น “สิ่งศักดิ์สิทธิ์” ไปด้วย
2.1.2 ศาสนบริกรในศาสนา
เพื่อสืบทอดหลักคำสอนและวิถีปฏิบัติของศาสนา จำเป็นต้องมีผู้สืบทอดที่เชื่อว่าเป็นศิษย์หรือทายาท หรือได้รับการเลือกสรร รวมทั้งได้รับการอบรมตามหลักธรรมของศาสนามาอย่างดีให้ทำหน้าที่เชื่อมระหว่างคำสอนในศาสนากับประชาชน เป็นผู้รับผิดชอบในการสอนหลักธรรมและพิธีกรรม เพื่อให้แต่ละศาสนาซื่อสัตย์ต่อหลักธรรมของศาสดา รวมทั้งให้หลักการปฏิบัติต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคม โดยศาสนบริกร (ซึ่งผ่านกระบวนการอบรมศึกษาให้เข้าถึงหลักธรรมของศาสนา) มีส่วนสำคัญในการรักษาและถ่ายทอดสาระคำสอนและธรรมเนียมปฏิบัติตามหลักของแต่ละศาสนา
2.2 ศาสนากับกิจกรรมในสังคม
การที่ศาสนาพัฒนาเป็นสถาบันสังคม ส่งผลให้ศาสนาต้องมีส่วนร่วมในการจัดระบบและให้แนวทางแก่สังคม ในฐานะที่ศาสนาอยู่ในสังคม ปัญหาในสังคมจึงเป็นปัญหาที่ศาสนาต้องมีส่วนร่วมในการให้คำตอบด้วย ศาสนาจึงเริ่มให้ความสนใจเกี่ยวกับกิจกรรมในสังคมมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการเมือง การศึกษา วัฒนธรรมและจารีตประเพณี เป็นต้น (จำนงค์, 2547)
2.2.1 ศาสนากับการเมืองการปกครอง
การเมืองการปกครองเป็นสิ่งจำเป็นและเป็นปัญหาสำคัญที่สังคมเผชิญ การจัดระบบบริหารจัดการทางการเมืองเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในสังคม ในฐานะที่ศาสนานำเสนอ “ชีวิตในอุดมคติ” ที่มนุษย์สามารถบรรลุถึงได้อาศัยการดำเนินชีวิตในสังคม ตามรูปแบบของแต่ละศาสนา ศาสนาจึงจำเป็นต้องให้หลักการเพื่อเป็นพื้นฐานแก่กิจกรรมทางการเมือง (แม้บ่อยครั้ง จากร่องรอยข้อเท็จจริงเชิงประวัติศาสตร์ ดูเหมือนว่าบุคคลของศาสนาอาจเข้าไปจัดระบบทางการเมืองหรือควบคุมการเมืองจนมากเกินไปก็ตาม) เพื่อให้ชีวิตในสังคมสามารถบรรลุถึงชีวิตในอุดมคติอย่างแท้จริง
2.2.2 ศาสนากับการศึกษา จารีตประเพณีและวัฒนธรรม
ศาสนาเป็นแรงจูงใจสำคัญที่ทำให้มนุษย์มีอารยธรรมในรูปของจารีตประเพณี และวัฒนธรรมที่คาบเกี่ยวกับวิถีชีวิตของมนุษย์ในสังคม ที่สืบต่อและพัฒนาการอย่างต่อเนื่องจากรุ่นหนึ่งสู่สมาชิกอีกรุ่นหนึ่งในสังคม ศาสนาช่วยปลูกฝังคุณค่าและขัดเกลาสมาชิกในสังคมให้สำนึกถึงการร่วมในชะตากรรมเดียวกัน ได้แก่ ความสำนึกถึงการเป็นพวกเดียวกัน การเรียนรู้และถ่ายทอดระเบียบของสังคม รวมถึงการช่วยเหลือเกื้อกูลสมาชิกในยามประสบปัญหาชีวิต เป็นต้น
3. มนุษย์กับประสบการณ์ในศาสนา
ศาสนาเป็นสิ่งที่ซับซ้อน เนื่องจากความจริงในศาสนาคาบเกี่ยวทั้งในเรื่องเนื้อหาของข้อเท็จจริง (Matters of fact) มโนภาพ (Matters of logic) การตัดสิน (Matters of appraisal) และความเชื่อ (Matters of faith) (William, 1976) อย่างไรก็ตามหัวใจของศาสนาคือความเชื่อศรัทธาในจิตใจที่เกี่ยวข้องกับคนแต่ละคนในฐานะเป็นแนวทางการดำเนินชีวิต ศาสนาเป็นเรื่องของชีวิตภายในของแต่ละคนที่ได้พบและเข้าสู่โลกของศาสนา หรือการมีประสบการณ์ส่วนบุคคลในศาสนานั่นเอง
3.1 ความหมายของประสบการณ์ในศาสนา
มีนักปรัชญาและเทววิทยาหลายท่านได้อธิบายความหมายของประสบการณ์ในศาสนา ในที่นี้ขอนำเสนอบางแนวคิด ได้แก่ (Adriaan, 1999)
3.1.1 ประสบการณ์ในศาสนา คือ การเผชิญหน้ากับความศักดิ์สิทธิ์
ก. แนวคิดของรูดอล์ฟ ออตโต (Rudolph Otto)
ได้เสนอความคิดว่าประสบการณ์ในศาสนามีทั้งส่วนที่อธิบายได้ด้วยเหตุผลและเกินขอบเขตที่อธิบายได้ด้วยเหตุผล เนื่องจากประสบการณ์ในศาสนาเป็นการเผชิญหน้ากับความศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมีลักษณะดังนี้ (Rudolph cited in Adriaan, 1999)
1) ความลึกลับ (Mystery)
ประสบการณ์ในศาสนามีลักษณะความลึกลับ (ธรรมล้ำลึก) เนื่องจากเรากำลังเผชิญหน้ากับ “ความเป็นจริงสูงสุด” ที่ยิ่งใหญ่และอยู่นอกเหนือ เกินขอบเขตสิ่งที่เรามีประสบการณ์พบเห็นในสิ่งทั่วไปในโลกที่เราดำเนินชีวิตอยู่ จึงมีความยากลำบากที่จะเข้าใจและอธิบายได้แน่นอนตายตัว เพราะเป็นการเผชิญหน้ากับความสมบูรณ์สูงสุดที่มีลักษณะแตกต่างจากสิ่งที่เราพบทั่วไป หรือที่ออตโต เรียกว่า “wholly other”
2) ความน่าเกรงขาม (Tremendous)
ประสบการณ์ในศาสนาเป็นประสบการณ์ที่ศักดิ์สิทธิ์ในฐานะที่เป็นการเผชิญหน้ากับความน่าเกรงขาม ทำให้เรารู้สึกหวาดหวั่น เกรงกลัว ทำให้เรารู้สึกว่าตัวเราต่ำต้อยน้อยค่าและแทบที่จะไม่มีอะไรที่เป็นชิ้นดีที่จะไปอวดอ้างได้เลย และยิ่งกว่านั้น ประสบการณ์ในศาสนาเป็นเหมือนกับบางสิ่งที่เข้ามาปลุกจิตสำนึกในชีวิตของเราให้ตระหนักถึงความจริงและให้ลงมือปฏิบัติตามความจริง
3) ความน่าหลงใหล/แสวงหา (Fascinating)
เป็นลักษณะของประสบการณ์ในศาสนาที่อยู่ควบคู่กับความน่าเกรงขาม (Tremendous) เหมือนกับเหรียญสองด้าน ด้านหนึ่งกลัว (เชิงลบ - เกรงขาม) อีกด้านหนึ่ง หลงใหลได้ปลื้มในความศักดิ์สิทธิ์ (เชิงบวก) มีความสำนึกอยากจะแสวงหา ติดตามความศักดิ์สิทธิ์นั้น
ข. สรุปและแนวทางการวิจารณ์แนวคิด
ออตโตมีความคิดว่าประสบการณ์ในศาสนาเรียกร้องให้แต่ละคนมีประสบการณ์โดยตรงต่อความศักดิ์สิทธิ์นั้น ๆ ความศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้มีประสบการณ์ทางศาสนาพบ เป็นการแสดงถึงพลานุภาพที่ยิ่งใหญ่และเป็นการแสดงออกทางอารมณ์ความรู้สึก (Emotion ways) เป็นประสบการณ์พิเศษ เหมือนกับที่โมเสสได้ยินพระดำรัสของพระเจ้าในพุ่มไม้ที่ไม่ไหม้ (อพย 3: 1-3) เป็นต้น ในที่นี้ขอนำเสนอเฉพาะตัวอย่างคำถามเพื่อเป็นแนวทางการวิจารณ์แนวคิดของท่าน ดังต่อไปนี้
1) จริงหรือไม่ที่ประสบการณ์ทางศาสนา เป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึก
2) ประสบการณ์ในศาสนา เน้นประสบการณ์ของความศักดิ์สิทธิ์ ทัศนะต่อความศักดิ์สิทธิ์ (ความเป็นจริงสูงสุด/พระเจ้า) ตามแนวของออตโตเป็นแบบไหน
3.1.2 ประสบการณ์ในศาสนา คือ ความสัมพันธ์ของบุคคล
ก. แนวคิดของมาร์ติน บูเบอร์ (Martin Buber)
บูเบอร์เห็นด้วยที่ว่าประสบการณ์ในศาสนาเป็นการเผชิญหน้ากับความศักดิ์สิทธิ์/ความเป็นจริงสูงสุด แต่ท่านมีแนวคิดว่าประสบการณ์ในศาสนาไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่อยู่ในชีวิตประจำวันของแต่ละบุคคล อันเป็นความสัมพันธ์แบบ “ฉัน” กับ “คุณ” (I - You relation) (Buber cited in Adriaan, 1999)
1) ประสบการณ์ในศาสนา ไม่ใช่แบบ “ฉัน-มัน”
ประสบการณ์ในศาสนาไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบคนกับสิ่งของ ที่ยึดตนเองเป็นศูนย์กลางและใช้สิ่งอื่นเพื่อเป็นเครื่องมือ ประสบการณ์ในศาสนาไม่ใช่เป็นการบังคับควบคุมอีกฝ่ายหนึ่งให้เป็น/ทำในสิ่งที่ตนอยากให้เป็น/ทำ “จงทำนั่น... จงทำนี่” (Let go..) ที่เป็นลักษณะฝ่ายหนึ่งควบคุมอีกฝ่ายหนึ่ง เหมือนกับที่เราบังคับควบคุมคอมพิวเตอร์ รถยนต์ ฯลฯ เพื่อตอบสนองความต้องการของเรา (ยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง) มีแบบแผน มีระบบที่แน่นอนตายตัวและกำหนดเงื่อนไขความสัมพันธ์ได้ (เมื่อไหร่ ที่ไหนฯลฯ)
2) ประสบการณ์ในศาสนาเป็นแบบ “ฉัน – คุณ”
บูเบอร์เจตนาใช้ขีดเส้น (-) มาเชื่อมระหว่างคำว่า “ฉัน” กับ “คุณ” แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลคล้ายกับรูปแบบของความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน ที่มีการรู้สำนึกและมีการติดต่อสื่อสาร (ถ่ายทอดสาร) กันและกัน อันเป็นพื้นฐานความสัมพันธ์ระหว่างตัวเรากับคนอื่นที่ต่างจากเรา (Other) ที่เราจะไปกำหนดแผน/เงื่อนไขของความสัมพันธ์ที่แน่นอนตายตัวไม่ได้ ความสัมพันธ์แบบฉัน-คุณ เป็นเหมือนกับการตกหลุมรักใครสักคน (ในกรณีความรักแบบหนุ่มสาว) ที่จะเกิดขึ้นเองโดยไม่มีแบบแผนไว้ล่วงหน้าว่าเราจะรักใคร (ไม่เหมือนกับความสัมพันธ์แบบ I-It ที่เราพอที่จะกำหนดแบบแผนไว้ได้ เพราะเน้นตัวเราเป็นหลัก)
3) ประสบการณ์ในศาสนาเป็นพระหรรษทาน: Planning –Spontaneity -Response
บูเบอร์เปรียบเทียบประสบการณ์ในศาสนาโดยใช้พื้นฐานของความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่เป็นแบบ I – You แต่ประสบการณ์ในศาสนามีลักษณะพิเศษ เพราะ You นี้คือ “ความเป็นจริงสูงสุด” หรือ พระเจ้า เราจึงยิ่งกำหนดแบบแผนล่วงหน้าของการมีประสบการณ์ในศาสนาไม่ได้ว่าเมื่อไหร่ เวลาไหน แต่มันจะเกิดขึ้นเอง (Spontaneity) และเราตอบรับที่จะมีความสัมพันธ์กับความเป็นจริงสูงสุดนั้น (Response) ซึ่งศัพท์ทางศาสนา (เทวนิยม) เรียกว่า “พระหรรษทาน” ที่ความเป็นจริงสูงสุด (พระเจ้า) ลงมาสร้างความสัมพันธ์กับเรา โดยที่เราไม่ต้องแสวงหาแต่เป็น You ที่มาหา I โดยที่ I ตอบรับเข้าไปมีความสัมพันธ์ด้วย
ประสบการณ์ในศาสนาเป็นความสัมพันธ์ระหว่างความเป็นจริงสูงสุดกับมนุษย์ มีจุดเริ่มต้นจากความเป็นจริงสูงสุดเลือกที่จะสร้างความสัมพันธ์กับมนุษย์
ข. สรุปและแนวทางการวิจารณ์แนวคิด
ประสบการณ์ในศาสนาตามแนวคิดของบูเบอร์มีลักษณะเป็นทั้งเชิงรุก (Active) และเชิงรับ (Passive) ในเวลาเดียวกัน เน้นความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล คือ ตัวมนุษย์ (I) กับความเป็นจริงสูงสุด (You) ที่บูเบอร์ระบุชัดเจนว่าเป็น “The Eternal You” คือ พระเจ้า/ความเป็นจริงสูงสุดนั่นเอง ประสบการณ์ในศาสนาจึงเน้นบทบาทสองด้าน คือ การที่พระเจ้าลงมาสร้างความสัมพันธ์กับมนุษย์และมนุษย์ตอบรับที่จะสร้างความสัมพันธ์กับพระองค์ เราจึงพอยกตัวอย่างแนวการวิจารณ์ความคิดได้ดังนี้
1) ผู้นับถือศาสนาแนวอทวนิยม สามารถมีประสบการณ์ในศาสนาได้หรือไม่ อย่างไร
2) มองประสบการณ์ในศาสนาในเชิงบวก (แต่จะมีสักกี่คนที่มีประสบการณ์ในศาสนาแบบนี้)
3.2 สรุป : แนวทางการพิจารณาประสบการณ์ในศาสนา
นอกจากแนวคิดข้างต้นที่นำเสนอไปแล้ว ยังมีนักปรัชญาศาสนา (ตะวันตก-อเมริกัน) อีกหลายท่านที่ได้เสนอความคิดที่น่าสนใจ แม้ว่าแนวคิดของแต่ละท่านจะแตกต่างกันออกไปและไม่มีมติสากลที่นักปรัชญาทุกคนยอมรับ (อันเป็นธรรมชาติของแนวคิดเชิงปรัชญา ที่ยังไม่มีคำตอบที่ตายตัว) อย่างไรก็ตาม ขอนำเสนอแนวคิดของ Adriaan T. Peperzak (1999) ได้เสนอหลักพื้นฐานของประสบการณ์ในศาสนาว่าประกอบด้วยสามส่วนที่สำคัญ ได้แก่
3.2.1 Comprehensive กล่าวคือ เป็นประสบการณ์ภายในของแต่ละคน
3.2.2 Radical กล่าวคือ เป็นประสบการณ์ในสิ่งที่มีคุณค่าและความหมายสูงสุด (ของผู้มีประสบการณ์นั้น ๆ ) ที่ทำให้บุคคลนั้นเปลี่ยนแปลงแบบหน้ามือเป็นหลังเท้า (ถอนรากถอนโคน)
3.2.3 Dynamic กล่าวคือ เป็นประสบการณ์ที่ไม่ตายตัว แต่เป็นขบวนการต่อเนื่องที่มุ่งสู่ความเป็นจริงสูงสุด
จากหลักการพื้นฐานดังกล่าวข้างต้น จึงบอกได้ว่าประสบการณ์ในศาสนาในฐานะเป็นหัวใจของศาสนา เป็นการเผชิญหน้าเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับความเป็นจริงสูงสุด ที่ทำให้ผู้มีประสบการณ์ทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อมุ่งสู่ความเป็นจริงสูงสุดนั้น อันเป็นพลังภายในที่ทำให้ผู้มีประสบการณ์เปลี่ยนแปลง (กลับใจ) วิถีชีวิตอย่างสิ้นเชิง หรือกล่าวได้ว่าประสบการณ์ในศาสนาเป็นประสบการณ์ภายในของการพบความเป็นจริงสูงสุด (สัจธรรม) ที่ทำให้บุคคลนั้น ๆ มีพฤติกรรมภายนอกที่แสดงถึงการดำเนินชีวิตอย่างสำนึกในคุณค่าและความหมายของชีวิต ด้วยการทุ่มเทสู่สัจธรรมในฐานะเป็นเป้าหมายชีวิตนั่นเอง
4. มนุษย์ได้อะไรจากศาสนา
หลังจากได้ศึกษาบทบาทหน้าที่ของศาสนาในเชิงสังคม (ลักษณะภายนอกในฐานะที่ศาสนาเป็นสถาบัน ในบริบทของเนื้อหาตามข้อเท็จจริงและตรรกวิทยา ในฐานะเป็นความรู้สากล (Matters of Fact + Matters of Logic – Universal Knowledge) ไปแล้ว อย่าลืมว่าหัวใจของศาสนาคือความเชื่อศรัทธาในจิตใจที่เกี่ยวข้องกับแต่ละคนในฐานะแนวทางการดำเนินชีวิตของผู้นับถือศาสนา (ในบริบทของ Matters of Faith – Personal Knowledge) ศาสนาอาจช่วยหล่อหลอมให้มนุษย์ก้าวสู่การเป็นสมาชิกตามกรอบ/บริบทของสังคม อาศัยการศึกษา จารีตประเพณี วัฒนธรรม แต่บทบาทหน้าที่สำคัญที่สุดของศาสนาคือ การเปิดตนเองสู่ความเป็นจริงสูงสุด อันเป็นประสบการณ์แห่งความสัมพันธ์ภายในของแต่ละคนที่เป็นพื้นฐานและแรงจูงใจแห่งวิถีชีวิตที่ค่อย ๆ พัฒนาตนเองสู่ความเป็นจริงสูงสุดนั้น จึงพอที่จะสรุปบางประเด็นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับศาสนาในแง่ของประสบการณ์ภายใน ดังต่อไปนี้
4.1 การเปิดโลกทัศน์สู่ความเป็นจริงสูงสุด
แม้ว่าแต่ละศาสนามีลักษณะแตกต่างกันในรายละเอียด แต่ทุกศาสนาต่างให้คำตอบในการอธิบายความจริง เพื่อความรอดพ้น โดยแยกประเภทของความจริงเป็นสองส่วนคือ สสารกับจิต สิ่งที่ศาสนาสนใจคือจิต (วิญญาณ) ในฐานะเป็นจุดเชื่อมโยงสู่ความเป็นจริงสูงสุด (สมภาร, 2546)
4.1.1 ความเป็นจริงสูงสุด เป็นเป้าหมายของชีวิตในปัจจุบัน
ศาสนาสอนว่าชีวิตมนุษย์นั้นไม่ใช่สิ่งมีค่าในตัวเอง แต่ชีวิตมีคุณค่าเมื่อเชื่อมโยงไปหาความเป็นจริงสูงสุด (พระเจ้า/นิพพาน) ความเป็นจริงสูงสุดนี้ในแตกต่างในแง่คำสอนและความเชื่อ แต่ก็เหมือนกันตรงที่เมื่อใดก็ตามที่เราได้สัมผัส จะเปิดโลกทัศน์ของเราสู่ความเป็นจริงสูงสุด แม้เราจะพบความจำกัดของชีวิต แต่ในขณะเดียวกัน เราก็พบว่าเราสามารถหลุดพ้นขอบเขตความจำกัดของชีวิตในปัจจุบัน สู่ความเป็นจริงสูงสุดได้
4.1.2 การตระหนักและการทุ่มเทสู่ความเป็นจริงสูงสุดในฐานะเป็นอุตรภาพ
คำสอนของแต่ละศาสนาอาจแตกต่างกัน แต่ทุกศาสนาต่างเตือนใจให้ตระหนักในสิ่งสูงส่งดีงาม (ความเป็นจริงสูงสุด) ที่อยู่พ้นไปจากเนื้อหนังร่างกายและโลกอันเป็นวัตถุ ซึ่งพอสรุปได้ว่าทุกศาสนาต่างสอนมองความสำคัญของโลกแห่งวิญญาณ (Spiritual world) จริงอยู่ที่ศาสนาอาจสอนว่าเราควรทำให้ชีวิตในโลกนี้เป็นชีวิตที่สงบสุข แต่ไม่ได้มีจุดหมายเพียงแค่ชีวิตอันสงบสุขในโลกนี้ จุดหมายของชีวิตตามหลักศาสนาได้แก่ นิพพาน หรือ อาณาจักรของพระเจ้า เป็นต้น มีลักษณะเป็นความสงบสุขในโลกหน้าอันเป็นนิรันดร ซึ่งอยู่เกินขอบเขตโลกแห่งผัสสะ (Transcendent) ในโลกนี้
4.1.3 มนุษย์สามารถบรรลุถึงความเป็นจริงสูงสุด อาศัยการดำเนินชีวิตในปัจจุบัน
แม้ว่าคำสอนในศาสนาจะเน้นการมุ่งสู่ชีวิตในอุดมคติในโลกหน้า ที่อยู่เกินขอบเขตโลกนี้ แต่ทุกศาสนาต่างเชื่อมโยงระหว่างการดำเนินชีวิตในโลกนี้เพื่อมุ่งสู่ชีวิตที่ดีที่สุดในโลกหน้า กล่าวคือ ทุกศาสนาสอนว่าการดำเนินชีวิตตามหลักธรรมของศาสนาในโลกนี้เป็นสาเหตุที่ส่งผลต่อ “ชีวิตที่สมบูรณ์และดีที่สุด” ในโลกหน้า (Next world/Another world) ชีวิตในโลกนี้เป็นเหมือนกับ “การเดินทางหรือการผจญภัย” ที่จะทำให้เราบรรลุถึงการประสบความสำเร็จ (หรือล้มเหลว) ในการประสบความสำเร็จด้วยการบรรลุถึงชีวิตแห่งอุดมคติที่เต็มด้วยความสุขเที่ยงแท้ถาวรในโลกหน้า (ความเป็นจริงสูงสุด) โดยอาศัยการดำเนินชีวิตอย่างทุ่มเท (Commitment) ต่อการสร้างความสัมพันธ์ต่อความเป็นจริงสูงสุดในรูปแบบที่ต่างกันของแต่ละศาสนา
4.2 การสรรสร้างความเป็นธรรม (ความสมดุลทางศีลธรรม)
บ่อยครั้งมนุษย์มักตั้งคำถามเกี่ยวกับชะตากรรมของตนว่าทำไมแต่ละคนจึงแตกต่างกัน บางคนเกิดมาบนความมั่งคั่ง บางคนกลับยากจนเข็ญใจ บางคนร่างกายและจิตใจเข้มแข็ง บางคนตรงกันข้าม บางคนต้องพบชะตากรรมที่ดูแล้วแสนทุกข์ทนทั้งด้านร่างกายรวมถึงการเผชิญกับโรคภัยสารพัด เต็มด้วยความเจ็บปวดหลากรูปแบบและยิ่งกว่านั้น การเผชิญกับค่านิยมบางอย่างที่ส่งเสริมให้มนุษย์กอบโกยทุกสิ่งที่และใช้ทุกวิธีการ ยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง เพื่อทำให้ตนมีความมั่งคั่งด้านกายภาพ จนถึงกับทำร้ายและทำลายชีวิตคนอื่น เพื่อให้ได้มาซึ่งความสุขสำราญในชีวิตปัจจุบัน จนถึงกับมีการตั้งคำถามว่า “ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป”
4.2.1 การตอบปัญหาเรื่องความเป็นธรรม (ความสมดุลของชีวิตส่วนบุคคล)
หลักธรรมของทุกศาสนา สอนให้มองชีวิตในภาพรวมและต่อเนื่องระหว่างชีวิตในปัจจุบัน (โลกนี้) กับชีวิตในอนาคต (โลกหน้า) ดูเหมือนมีแต่ศาสนาเท่านั้นที่ยังเสนอระบบอธิบายเกี่ยวกับความเป็นธรรมที่ต่อเนื่องผูกพันระหว่างชีวิตปัจจุบันที่ส่งผลต่อชีวิตใหม่ในอีกภพหนึ่ง สิ่งใดที่ยังไม่สมดุลในการดำเนินชีวิตตามมิติของศีลธรรมในชีวิตปัจจุบันก็จะส่งผลสืบเนื่องไปสู่ชีวิตหน้าตามหลักการที่ว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” นั่นเอง
คำสอนเรื่อง “ชีวิตหลังความตาย” ตามหลักของศาสนาล้วนให้ภาพชีวิตหลังความตายที่เกี่ยวกับมิติศีลธรรม อันเป็นชีวิตที่ต่อเนื่องจากชีวิตในปัจจุบัน (โลกนี้) แม้ว่าแต่ละศาสนาจะมีการอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับชีวิตหลังความตายต่างกัน แต่สิ่งที่เน้นเหมือนกันคือ แต่ละบุคคลต้องรับผิดชอบต่อผลการกระทำของตน กล่าวคือ
ก. ทำดีได้ดี : ความหมายของสวรรค์/การเกิดใหม่ในชาติภพที่ดีกว่า
1) ศาสนาแนวเทวนิยมกับผลของการทำดี
มีการใช้คำ “สวรรค์” เป็นสัญลักษณ์แทนผลที่ได้รับตลอดนิรันดรจากการดำเนินชีวิตอย่างดีในการปฏิบัติตามหลักธรรมของศาสนา สวรรค์ไม่ใช่สถานที่ ไม่ได้อยู่บนฟ้า แต่เป็น “ภาวะ” แห่งความสุขนิรันดร ที่มนุษย์ไม่ต้องมีความทุกข์อีกต่อไป หรือสวรรค์หมายถึงการมีชีวิตที่สมบูรณ์ที่ได้อยู่/มีความสัมพันธ์แบบเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า (ความเป็นจริงสูงสุด) อย่างสมบูรณ์ เหมือนกับที่ศาสนาคริสต์อธิบายว่า “เขาทั้งหลายที่ตายในพระหรรษทานและในความเป็นมิตรกับพระเจ้า และได้รับการชำระจนบริสุทธิ์อย่างสมบูรณ์แล้ว จะได้มีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ตลอดกาล พวกเขาจะคล้ายคลึงกับพระเจ้าอยู่ตลอดไป เพราะพวกเขามองเห็นพระองค์ “อย่างที่ทรงเป็น” (1 ยน. 3: 2) ต่อหน้าต่อตา” (CCC , 1994: 1023)
2) ศาสนาแนวอเทวนิยมกับผลของการทำดี
ศาสนาแนวอเทวนิยม โดยเฉพาะพระพุทธศาสนาเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด (สังสารวัฏ) ซึ่งดำเนินไปตาม “กฎแห่งกรรม” คนที่ทำกรรมดีในชาตินี้ จะส่งผลให้เขาได้รับผลที่ดีในชาติหน้า กล่าวคือ ได้เกิดใหม่ในชาติภพที่ดี มีความเจริญกว่าชีวิตที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น ในกรณีที่ชาติภพนี้ เกิดเป็นมนุษย์ ระหว่างมีชีวิตอยู่ได้ประกอบกรรมดีตามกฎแห่งกรรมดี เมื่อตายไปเขาจะได้เกิดใหม่ในชาติภพที่ดีกว่า เช่น อาจเกิดเป็นเทวดาหรือพรหมในสวรรค์ (พุทธทาสภิกขุ, 2541) เป็นต้น
ข. ทำชั่วได้ชั่ว : ความหมายของนรก/การเกิดใหม่ในชาติภพที่ต่ำลง
1) ศาสนาแนวเทวนิยมกับผลของการทำชั่ว
แนวคิดของศาสนาเทวนิยม โดยเฉพาะคริสตศาสนา มีการใช้คำ “นรก” “ไฟไม่รู้ดับ” “ไฟนิรันดร” เป็นสัญลักษณ์แทนผลที่ได้รับตลอดนิรันดรจากการดำเนินชีวิตที่ไม่ถูกต้องตามหลักธรรมของศาสนา นรกไม่ใช่สถานที่ ไม่ได้อยู่ใต้ดิน แต่เป็น “ภาวะ” ที่ตัดขาดความสัมพันธ์อย่างสิ้นเชิงกับพระเจ้า (ความเป็นจริงสูงสุด) การหมดสิทธิ์ที่จะเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า อันเนื่องจาก “การตายในบาปหนักโดยไม่มีการสำนึกในความผิดและไม่ต้อนรับความรักอันเปี่ยมด้วยความกรุณาของพระเจ้า หมายความว่าจะต้องอยู่ในสภาพตัดขาดจากพระองค์ชั่วนิจนิรันดร์ โดยการเลือกของตัวเราเองอย่างอิสระและสภาพตัดตัวเองออกไปอย่างเด็ดขาดจากความสนิทสัมพันธ์กับพระเจ้า” (CCC, 1994: 1033)
2) ศาสนาแนวอเทวนิยมกับผลของการทำชั่ว
ศาสนาแนวอเทวนิยม โดยเฉพาะพระพุทธศาสนา สอนว่าผลของ “กรรมชั่ว” คือผลที่ชั่ว ซึ่งดำเนินไปตามกฎแห่งกรรมตามหลักการเวียนว่ายตายเกิด ถ้าชีวิตในชาตินี้ทำชั่ว เขาจะเกิดในชาติภพหน้าที่ต่ำว่าชาตินี้ ดังในจากพระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ 16 “พาลบัณฑิตสูตร” ที่ว่า “ดูกร ภิกษุทั้งหลาย มีเหล่าสัตว์เดรัจฉานจำพวกมีหญ้าเป็นภักษา สัตว์เดรัจฉานเหล่านั้นย่อมใช้ฟันและเล็มกินหญ้าสด ก็เหล่าสัตว์เดรัจฉานจำพวกมีหญ้าเป็นภักษาคืออะไร คือ ม้า โค ลา แพะ เนื้อ หรือแม้จำพวกอื่นๆไม่ว่าชนิดใดๆ ที่มีหน้าเป็นภักษา ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพาลนั้นนั่นและผู้กินอาหารด้วยความติดใจรสเบื้องต้นในโลกนี้ ทำกรรมลามกไว้ในโลกนี้ เมื่อตายไปแล้วย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของสัตว์จำพวกที่มีหญ้าเป็นภักษาเหล่านั้น ฯ” ตัวอย่างในพระไตรปิฎก จูฬกรรมวิภังคสูตร ๑๔/๓๗๖ ที่ว่า “คนบางคน ฆ่าสัตว์เป็นปรกติ มีใจทารุณโหดร้าย มีมือเปื้อนเลือด หมกมุ่นในการประหัตประหาร ไม่เอ็นดูในสัตว์มีชีวิต เขาตายไปจะต้องเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก” เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ในกรณีของพุทธศาสนา สอนว่าภาวะแห่งการเกิดใหม่ในชาติภพที่ดีหรือเลวกว่านี้ เป็นเพียงความเป็นจริงขั้นโลกียะ ซึ่งยังคงวนเวียนในกระแสของการเกิดและดับ (สังสารวัฎ) คือ การเวียนว่ายตายเกิด (สุเชาวศ์, 2546:116) ยังไม่ใช่เป้าหมายแท้จริงของพุทธศาสนา เพราะการเวียนว่ายตายเกิดนี้ ยังคงมีลักษณะชั่วคราวและอยู่ในวงเวียนแห่งทุกข์ เป้าหมายแท้จริงของพุทธศาสนาคือ ความเป็นจริงโลกุตตระ (นิพพาน) (การหลุดพ้นโลก/พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดไม่ว่าจะเกิดในชาติภพที่ดีหรือเลวก็ตาม เพราะไม่ใช่เป้าหมายแท้จริง)
4.2.2 ความสมดุลของชีวิตตามหลักศีลธรรม เริ่มต้นตั้งแต่ชีวิตในโลกนี้
แม้ว่าคำสอนในศาสนา อาจให้คำตอบแก่ปัญหาเรื่องความสมดุลทางศีลธรรม โดยเชื่อมโยงกับคำสอนเรื่องชีวิตหลังความตายในโลกนี้ (ชีวิตในโลกหน้า – ชีวิตนิรันดร/ความพินาศนิรันดร หรือ การเกิดใหม่ในภพที่ดีกว่า/เลวกว่า) แต่ศาสนาก็ย้ำถึงความสมดุลทางศีลธรรมแก่ชีวิตในโลกนี้ด้วย โดยเฉพาะกับความสำนึกดีชั่วในจิตใจของแต่ละบุคคล (Consciousness) บางคนสุขกาย แต่ไม่สุขใจ จึงมีวลียอดนิยมในวงการศาสนาว่า “สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ”
ทุกศาสนาให้ความสำคัญต่อจิตวิญญาณ ในฐานะเป็นลักษณะเฉพาะของมนุษย์ที่เชื่อมโยงกับโลกหน้า สิ่งที่ศาสนาย้ำคือการขัดเกลาจิตใจให้ผุดผ่องเพื่อการมีประสบการณ์กับความจริงในศาสนาซึ่งเริ่มต้นแล้วตั้งแต่ในโลกนี้ ผลของการปฏิบัติตามหลักธรรมของศาสนาแม้จะบรรลุถึงอย่างสมบูรณ์ในโลกหน้า แต่ในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่ เราก็สามารถลิ้มรส (ชิมลาง) ความสมบูรณ์แบบในโลกหน้าแล้ว หรือที่พูดง่าย ๆ คือ เมื่อเราทำดีตามหลักธรรมของศาสนา เราจะรู้สึก “อิ่มอก อิ่มใจ” หรือ “อิ่มบุญ” ซึ่งศาสนาอธิบายว่าเป็นการลิ้มรสความสมบูรณ์นิรันดรที่ศาสนาสอนในโลกหน้านั่นเอง
4.3 ศาสนาสอนให้มนุษย์เอาชนะตนเอง
ศาสนานอกจากจะช่วยเปิดโลกทัศน์และตอบปัญหาเรื่องความสมดุลแก่ชีวิตตามหลักศีลธรรมแล้ว สิ่งที่ศาสนาสอนคือ การไม่ยึดมั่น ถือมั่น หรือการไม่ยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง แต่ให้ยึดความเป็นจริงเป็นศูนย์กลาง (Self – center to Reality-center) ในการมุ่งหน้าสู่ ความเป็นจริงสูงสุด (พระเจ้า/ความรอดพ้น) สิ่งที่ศาสนาสอนว่าเป็นเป้าหมายสูงสุดของมนุษย์คือ การมีชีวิตที่สงบสุข (ตลอดนิรันดร) และมนุษย์จะมีความสงบสุขแท้จริงได้ด้วยการปรับตนเองเข้ากับความเป็นจริงสูงสุด หรือการประพฤติปฏิบัติตัวให้สอดคล้องกับกฎธรรมชาตินั่นเอง
สิ่งที่ศาสนาเน้นย้ำคือ ความสุขจากภายในจิตใจ ซึ่งจะเกิดขึ้นไม่ใช่ด้วยการเอาชนะคนอื่น หรือสิ่งอื่น (การครอบครอง) แต่หมายถึงการทำทาน การเสียสละ การแบ่งปันแก่คนอื่นตามโอกาสและสถานการณ์ที่เหมาะสม ความสุขแท้จริงที่ศาสนาสอนคือ การเอาชนะความอยากมี ความอยากเป็น ในสิ่งที่เราไม่มี ในสิ่งที่เราไม่เป็น ซึ่งเป็นเรื่องของการลดละความอยากภายในจิตใจที่ไม่รู้จักพอในสิ่งที่ตนมี ในสิ่งที่ตนเป็น ดังเช่นคำสอนของพระพุทธเจ้าในเรื่องการดับทุกข์ พระองค์สอนว่าคนเราเกิดมาพร้อมกับตัณหาในใจ ตัณหานี้จะผลักดันให้เราดิ้นรนแสวงหาสิ่งต่าง ๆ มาพอกพูนแก่ชีวิต เช่น เงินทอง เกียรติยศ เป็นต้น การที่ชีวิตต้องดิ้นรนแสวงหาสิ่งเหล่านี้คือทุกข์ ทุกข์ทั้งในแง่ที่ต้องดิ้นรนเหน็ดเหนื่อยและในแง่ที่เมื่อได้มาแล้วก็ไม่สามารถครอบครองไว้ได้ตลอดไป เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่เที่ยงแท้แน่นอน ดังนั้น การดับทุกข์คือ การเอาชนะกิเลสตัณหาภายในใจ เมื่อเอาชนะได้ ชีวิตเราจะสงบสุข ร่มเย็น มนุษย์จะบรรลุความสุขแท้จริงได้ ด้วยการเอาชนะตัวเองนั่นเอง
5. สรุปประจำบท
5.1 การอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับศาสนา สามารถนำเสนอได้หลายแง่มุม ในฐานะที่ศาสนาเป็นอารยธรรมที่มองเห็นได้ในการเป็นสถาบันทางสังคม และอารยธรรมในรูปของความเชื่อศรัทธาภายในจิตใจที่มุ่งสู่ความเป็นจริงสูงสุด ศาสนาอาจเป็นวิธีการอธิบายโลก ความเป็นมาและเป้าหมายของสรรพสิ่ง เพื่อเตือนใจให้มนุษย์สำนึกต่อการมองความจริงของชีวิต อย่าลืมว่าสิ่งที่ศาสนาย้ำ ไม่ใช่ทฤษฏี หรือความรู้ ความเข้าใจความจริงในด้านสติปัญญาเท่านั้น แต่สิ่งที่ศาสนาให้ความสำคัญที่สุดคือ ท่าทีภายในจิตใจของมนุษย์แต่ละคนที่ปรารถนาจะเปิดตนเองสู่ความเป็นจริงสูงสุด (ความรอดพ้น) ด้วยการประพฤติปฏิบัติตน ด้วยความทุ่มเทและรับผิดชอบที่จะมุ่งหน้าบรรลุถึงความเป็นจริงสูงสุดนั้น ในฐานะเป็นความรับผิดชอบของแต่ละบุคคล
5.2 หลักการของศาสนา เป็นการพบกันระหว่างความเป็นจริงสูงสุดกับการออกแรง (ความพยายาม) ของมนุษย์ที่จะบรรลุถึงความเป็นจริงสูงสุดนั้น ศาสนาเป็นแรงจูงใจให้มนุษย์มีอารยธรรม ในขณะเดียวกันมนุษย์ได้ดึงความจริงในศาสนาให้เป็นรูปธรรมในฐานะเป็นสถาบันในสังคม เพื่อช่วยหล่อหลอมและขัดเกลามนุษย์ให้ดำเนินชีวิตตามรูปแบบมนุษย์ ที่สืบเนื่องกันมาจากชนรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่ง แม้ศาสนาจะให้ความสำคัญด้านคุณค่าภายในจิตใจมากกว่า แต่ศาสนามีลักษณะเหมือนเหรียญที่มีสองด้าน ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับศาสนาจึงต้องมีทั้งส่วนที่อยู่ภายในจิตใจและต้องมีการแสดงออกภายนอกด้วย ศาสนาจึงไม่ได้อยู่แค่ระดับการขึ้นกับแต่ละคนเท่านั้น สิ่งที่ศาสนาย้ำคือ คุณค่าภายในจิตใจและแสดงออกภายนอก ตามหลักธรรมของศาสนา โดยมีเป้าหมายเพื่อจะได้บรรลุถึงความเป็นจริงสูงสุด
5.3 และที่สุด ศาสนาจะไม่มีคุณค่าและความหมาย ถ้าหากมนุษย์มองศาสนาแต่เพียงภายนอก และจำกัดกรอบแต่เพียงบริบทของความกลัว พึงระมัดระวังการดำเนินตามหลักธรรมของศาสนา เพียงเพราะความกลัว กลัวถูกลงโทษ กลัวตกนรก หรือแม้แต่การถือศาสนาแบบเด็ก ๆ ที่อยากได้ขนม (สวรรค์) ถ้าทำในสิ่งที่ผู้ใหญ่ (พระเจ้า) มอบหมายให้ทำ
ศาสนาอาจให้อะไรมากมายแก่มนุษย์... แต่จะไม่มีคุณค่าและความหมาย ถ้ามนุษย์มองศาสนาเพียงแค่ระดับวัตถุ ปฏิบัติตามหลักธรรมแต่เพียงลายลักษณ์อักษร มองศาสนาว่าเป็นการลงทุน มองศาสนาเพียงแค่กฎเกณฑ์ที่ต้องปฏิบัติ.... จนลืมนึกไปว่าศาสนามีไว้ทำไม
วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น